หลายคนที่เคยเลี้ยงแมวน่าจะเคยสงสัยว่าทำไมแมวที่เราเลี้ยงนั้นดูแข็งแรง
ตั้งแต่เริ่มเลี้ยงมานอกจากพาไปทำวัคซีนกับถ่ายพยาธิแล้วแมวบางตัวแทบไม่เคยเห็นมีปัญหาอะไร
ส่วนหนึ่งนั่นเพราะอุปนิสัยของแมวด้วยครับ เนื่องจากแมวส่วนใหญ่นอนเฉลี่ยแล้วมากถึง10-15ชม.(นอนเยอะ
เคลื่อนไหวน้อย ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยได้ยากขึ้น ไม่เหมือนสุนัข วิ่งเล่น
มุดนู่นมุดนี่ เผลอปุ๊บวิ่งออกไปข้างนอก จับไม่ทัน ไม่ยอมเข้าบ้าน เลียทุกสิ่ง
กินทุกอย่าง บลาๆๆ เลยทำให้ป่วยได้ง่าย)
ถึงแม้ว่าแมวของเราจะดูแข็งแรงมาโดยตลอด
แต่มีปัญหาสุขภาพบางอย่างครับที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ควรรีบพาไปรักษาทันที จากประสบการณ์ในการรักษาของผม
มีอยู่ 6 ปัญหา ที่ควรระวังไว้ เพราะปัญหาเหล่านี้ถ้าปล่อยไว้นานๆอาจทำให้เกิดอันตรายแก่เจ้าเหมียว
รับรองว่าเนื้อหาครั้งนี้เป็นประโยชน์แก่ผู้เลี้ยงแมวทุกคนแน่นอนครับ
1."อาเจียน" สัญญาณเริ่มต้นของการป่วย
น้องแมวอ๊วก! หรืออาเจียนนั้น เป็นภาวะที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในแมว
และเหมือนเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการป่วยหลายๆโรค โดยสาเหตุอาจเกิดจากแมวกินของบางอย่างที่ไม่ควรทานเข้าไป
เช่น เชือก ซึ่งอาจมาจากของเล่นแมว หรือคอนโดแมวของเราเอง บางครั้งอาจได้รับสารพิษเข้าไปในร่างกาย
เพราะความไม่ระวังของผู้เลี้ยง ยกตัวอย่างเช่น ขณะทำความสะอาดพื้น
แต่เผลอล้างน้ำยาทำความสะอาดออกไม่หมด เมื่อแมวไปเลียเลยทำให้อาเจียนได้ หรือเป็นที่พฤติกรรมของแมวเอง
เช่นกินเร็ว กินมากเกินไป ชอบทานน้ำจากแหล่งไม่สะอาด และชอบเลียขนบ่อยๆ
ทุกอย่างที่เล่ามาล้วนเป็นสาเหตุทำให้แมวอาเจียนได้หมดเลยครับ
ถ้าพบว่าแมวของเรามีอาการนี้เมื่อไหร่
ให้คิดล่วงหน้าว่าน้องเหมียวคงเริ่มไม่สบาย เพราะการอาเจียนอาจบ่งบอกว่าแมวเพิ่งติดเชื้อ
หรือเริ่มป่วยในระยะเบื้องต้น
บางครั้งแมวที่อายุมากๆที่เป็นโรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต นั้นอาจทำให้มีการอาเจียนได้เหมือนกัน
การอาเจียนบ่อยๆ จะทำให้ร่างกายของน้องแมวขาดน้ำอย่างรุนแรง เพราะฉะนั้นถ้าเราเห็นแมวอาเจียนวันหนึ่งเกิน 3-4รอบ โดยเฉพาะในลูกแมว คงไม่ต้องคิดอะไรแล้ว....รีบพาไปหาคุณหมอเถอะครับ
(เพราะการระงับอาเจียน ส่วนใหญ่รักษาได้ด้วยการให้ยาเท่านั้น!!) ลูกแมวที่อาเจียนหนักๆอาจป่วยหรือติดเชื้อรุนแรงอยู่
เช่นโรคไข้หัดแมว หรือลำไส้อักเสบ
ถ้าเป็นไปได้เจ้าของควรเก็บตัวอย่างที่เค้าสำรอกออกมานำไปให้คุณหมอตรวจด้วย
จะได้ย่นระยะเวลาในการรักษาให้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าพบภาวะอาเจียนในแมวที่โตแล้ว
เจ้าของอาจลองสังเกตอาการสัก1-2 วัน แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้รีบพาไปหาคุณหมอรักษาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ
2."หมัดแมว" ภัยร้ายจากเจ้าตั๋วจิ๋วที่ไม่ธรรมดา
หมัดก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยในแมว
ซึ่งเจอได้ตลอดทั้งปีแต่อาจเจอได้บ่อยขึ้นในช่วงฤดูฝน และอากาศร้อนชื้น ยิ่งสภาพอากาศของบ้านเราที่เดี๋ยวร้อน
เดี๋ยวฝนตกเลยทำให้หมัดขยายจำนวนได้ง่าย โชคดีหน่อยครับเพราะถึงแม้แมวจะติดหมัดได้ง่าย
แต่การรักษาหมัดก็ทำได้ง่ายและไม่ยุ่งยากเท่าไรด้วย โดยเบื้องต้น ถ้าน้องแมวมีอาการเหล่านี้
ให้สงสัยก่อนเลยว่าแมวของเราอาจจะติดหมัดแล้ว ตามนี้เลย
-เห็นจุดดำๆบนผิวหนังหรือแทรกตามระว่างขน -รู้สึกว่าน้องแมวเกาบ่อยขึ้น
เลียตัวบ่อยขึ้น
ปัญหาเรื่องหมัดเจ้าของบางท่านอาจจะมองว่าไม่สำคัญ
แต่ความจริงแล้วถือว่าน้องแมวเริ่มมีปัญหาแล้วนะครับ เพราะการที่แมวของเราเริ่มมีหมัดขึ้นตามตัวนั้น
แสดงว่าแมวเริ่มมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำลง เราน่าจะรู้กันอยู่แล้วว่า หมัดนั้น
มันขึ้นมาเกาะอาศัยน้องแมวเพื่อ "ดูดเลือด" ยิ่งถ้ามีหมัดมากๆ แมวของเราก็จะอ่อนแอ
และป่วยง่ายขึ้น อาจถึงขึ้นเป็น "โรคโลหิตจาง" ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้น้องแมวเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆตามมาได้
ดังนั้นแล้ว เจ้าของแมวทุกคนควรเน้นการป้องกันไม่ให้มีหมัดเกิดขึ้น
นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาโรคอันตรายต่างๆตามมา
การป้องกันง่ายๆเลยคือซื้อพวกยาหยอดหลังที่มีอยู่มากมายตามท้องตลาด(ห้ามใช้ยาปลอมนะ)
หรือในรูปแบบยากิน ควบคู่กับการใช้เวชภัณฑ์ทาภายนอกด้วยเช่น
แชมพูป้องกันหมัด หรือแป้งป้องกันหมัดก็ได้ครับ
3."พยาธิตัวตืด" มาม่าเจ้าปัญหาในลำไส้เล็ก
พยาธิในแมวมีอยู่หลายชนิดครับ
แต่มีอยู่หนึ่งชนิดที่อันตรายมากนั่นคือ พยาธิตัวตืด
และเป็นพยาธิที่ผมคิดว่าหน้าตาน่าเกลียดที่สุดด้วย ถ้านึกหน้าตาไม่ออกลองดูภาพด้านบน
หน้าตาคล้ายเส้นมาม่านั่นแหละครับ พยาธิชนิดนี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งต่อการป่วยของน้องแมว โดยอาการป่วยของแมวที่มีพยาธิปกติแล้วอาจจะไม่ค่อยเด่นชัด
แต่ที่สังเกตเห็นได้บ่อยคือ อาเจียนบ่อยขึ้นและน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว และเริ่มมีการไถก้น เราอาจพบร่องรอยของพยาธิได้ในอุจจาระเช่น
มีเลือดปะปน หรือจุดขาวๆคล้ายเมล็ดข้าว
บางครั้งอาจมีตัวพยาธิออกมาให้เห็นกันจะๆเลย(Oh my GOd!)
ส่วนการรักษานั้นทำได้หลายวิธีครับ
เช่นพาแมวไปหาคุณหมอเพื่อป้อนยาถ่ายพยาธิ หรือใช้ยาหยอดหลังบางชนิดทีมีคุณสมบัติป้องกันพยาธิได้
เราควรให้ยาป้องกันทุก 3 -6 เดือน
การมีพยาธินั้นมักพบในแมวที่เจ้าของปล่อยออกไปนอกบ้านเป็นประจำซึ่งแมวอาจติดพยาธิจากการไปวิ่งเหยียบดิน
เหยียบหญ้า หรือกินน้ำที่ไม่สะอาดเข้าไป แต่อีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้แมวมีพยาธิ
นั่นคือ "คือน้องแมวเผลอกินหมัดเข้าไป!!" ใช่แล้วครับ
ไม่ต้องตกใจไป เจ้าของอาจสงสัยว่าแล้วแมวของเรากินหมัดเข้าไปตอนไหน
ก็ตอนที่ไปกัดหรือเลียขนบริเวณจุดที่หมัดอาศัยอยู่ยังไงล่ะ
หมัดบางชนิดจะมีเชื้อหรือตัวอ่อนของพยาธิเหล่านี้อยู่ดังนั้น
น้องๆจึงควรป้องกันทั้งพยาธิและหมัดไปพร้อมๆกันจะดีที่สุดครับ
4."ท้องเสีย" อีกหนึ่งภัยร้ายที่เกิดขึ้นได้ง่าย
นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้เจ้าของแมวทุกคนกลุ้มใจและกังวลมาก
เพราะการท้องเสียนั้นบอกได้ชัดเจนที่สุดเลยครับว่าตอนนี้แมวของเราเริ่มมีปัญหาแล้วนะ
อาจติดเชื้อโรค มีแนวโน้มป่วยแล้วค่อนข้างมาก มีหลายสาเหตุครับที่ทำให้เกิดภาวะท้องเสียในแมว
อาจมาจากการเปลี่ยนชนิดอาหารเม็ดในทันที ให้ทานอาหารเปียก ทานนมวัว การเลียเอาขนเข้าร่างกายมากจนเกินไป หรือแพ้อาหารประเภทเนื้อสัตว์ หรือเพราะเจ้าของปล่อยแมวไปวิ่งเล่นข้างนอก
น้องแมวอาจได้รับเชื้อโรคจากการที่เท้าสัมผัสพื้นดิน พื้นปูน หญ้าและ ทราย บางครั้งถ้าพบว่าท้องเสียบ่อยโดยไม่มีสาเหตุในแมวอายุมาก
อาจเกี่ยวข้องกับภาวะโรคตับหรือโรคมะเร็งเข้ามาเกี่ยวข้องได้ ที่สำคัญเจ้าของควรแยกให้ออกด้วยนะครับว่าแมวท้องเสียจริงๆ
โดยดูที่ปริมาณความถี่และลักษณะอุจจาระ(ถ้าในหนึ่งวัน ถ่ายเกิน5-6ครั้ง
แสดงว่าแนวโน้มท้องเสียมีสูงครับ)
โดยทั่วไปอาการที่พบได้
คือ น้องแมวมีอาการซูบผอม ดูไม่มีแรง ขาดน้ำ
ซึ่งจะเป็นหนักหรือเบาขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการท้องเสียด้วยว่าเป็นแค่ไม่กี่วัน
สัปดาห์ หรือนานถึงเดือน วิธีการป้องกัน
ถ้าพบว่าแมวเริ่มถ่ายเหลว หรือท้องเสียขึ้นมาเมื่อไร อันดับแรกที่ควรทำคือ หยุดให้กินอาหาร
ประมาณ 12- 24 ชั่วโมง อาจให้ทานน้ำได้เล็กน้อยเพื่อป้องกันภาวะการขาดน้ำ
และให้อยู่ในที่ปลอดโปร่ง ถ้าสาเหตุที่ท้องเสียไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
แต่เกี่ยวข้องกับการให้อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ น้องแมวอาจจะหายได้เองภายใน1-2 วัน
แต่ถ้าสังเกตแล้วยังไม่ดีขึ้น แล้วพบอาการป่วยเพิ่มขึ้นอีกเช่น อาเจียน อุจจาระเริ่มเป็นสีดำ มีเลือดปะปน มีกลิ่นคาวและเหม็นกว่าเดิม
เจ้าของควรรีบพาไปหาคุณหมอจะดีที่สุดเพื่อให้คุณหมอรีบรักษา
น้องแมวจะได้หายเป็นปกติเหมือนเดิมครับ
5.ปัญหา"ตาเจ็บ"
ปัญหาเรื่องตาของแมวนั้นมีเยอะมากครับ เช่น แผลที่กระจกตา เยื่อบุตาอักเสบ ลูกตาอักเสบ ซึ่งมักเกิดจากน้องแมวใช้เล็บตัวเองเกาที่ตาจนเป็นแผล หรือได้รับการกระแทกที่ตาอย่างรุนแรง และยังมีโรคตาในแมวสูงอายุ เช่นโรคต้อหิน ต้อกระจก หรืออาจเกิดปัญหาที่เจ้าของเองขาดความระมัดระวัง เช่น พาน้องแมวไปเล่นน้ำทะเล เกิดพลาดน้ำทะเลเข้าตาจนตาอักเสบ การไม่ค่อยเช็ดขี้ตาให้น้องแมวก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตาติดเชื้อ ก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังได้เหมือนกัน นอกจากนี้ แมวสายพันธ์ขนยาวมักมีปัญหาที่ตามากกว่าพันธ์ขนสั้น นั่นเพราะขนที่ยาวรอบๆตา ถ้าขนทิ่มเข้าไปบ่อยๆจะทำให้เกิดการระคายเคือง ทำให้ตาอักเสบได้เหมือนกัน
ปัญหาเรื่องตาของแมวนั้นมีเยอะมากครับ เช่น แผลที่กระจกตา เยื่อบุตาอักเสบ ลูกตาอักเสบ ซึ่งมักเกิดจากน้องแมวใช้เล็บตัวเองเกาที่ตาจนเป็นแผล หรือได้รับการกระแทกที่ตาอย่างรุนแรง และยังมีโรคตาในแมวสูงอายุ เช่นโรคต้อหิน ต้อกระจก หรืออาจเกิดปัญหาที่เจ้าของเองขาดความระมัดระวัง เช่น พาน้องแมวไปเล่นน้ำทะเล เกิดพลาดน้ำทะเลเข้าตาจนตาอักเสบ การไม่ค่อยเช็ดขี้ตาให้น้องแมวก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตาติดเชื้อ ก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังได้เหมือนกัน นอกจากนี้ แมวสายพันธ์ขนยาวมักมีปัญหาที่ตามากกว่าพันธ์ขนสั้น นั่นเพราะขนที่ยาวรอบๆตา ถ้าขนทิ่มเข้าไปบ่อยๆจะทำให้เกิดการระคายเคือง ทำให้ตาอักเสบได้เหมือนกัน
เจ้าของทุกคนคงพอรู้สาเหตุคร่าวๆแล้วว่าทำไมถึงเกิดปัญหาขึ้นในตาของเจ้าเหมียว
ทางที่ดีถ้าเจอเมื่อไร ควรพาน้องแมวไปหาคุณหมอจะดีที่สุดครับ
เพราะการรักษาเรื่องตาเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน และทำเองค่อนข้างยาก
6.โรคทางเดินปัสสาวะส่วนล่างในแมว
Feline Lower Urinary Tract Diseases (FLUTD)
โรคนี้เจ้าของอาจไม่ค่อยรู้จัก
หรือไม่เคยได้ยินกันเท่าไร แต่เชื่อมั๊ยครับว่า มีน้องแมวถึง 10 % ที่ไปหาคุณหมอ แล้วพบว่าป่วยเป็นโรคนี้กัน
โดยส่วนใหญ่มักพบในแมวที่มีน้ำหนักตัวมาก (แมวอ้วนนั่นแหละ)
หรือเจ้าของเลี้ยงน้องแมวให้มีพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่นให้กินอาหารเม็ดที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ
ให้กินอาหารคนเป็นมื้อหลัก โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีนสูง
เช่นเนื้อสัตว์ เนื้อปลา หรือเลี้ยงแมวกันหนาแน่นมากเกินไปจนทำให้เกิดความเครียด
สิ่งเหล่านี้ทำให้แมวเป็นโรค (FLUTD) ได้นะครับ ซึ่งการรักษาขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เป็นและอาการของโรคนี้ด้วย
โดยอาการป่วยที่พบเห็นได้อยู่บ่อยๆ คือ "เบ่งตัวเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะมีเลือดปะปน
ปัสสาวะไม่ถูกที่บ่อยครั้ง(เหมือนน้องแมวคุมฉี่ตัวเองไม่ค่อยได้)
หรือร้องเจ็บเวลาปัสสาวะทำให้บางที่น้องแมวจะ ไม่อยากฉี่เลย..... บางทีจะเห็นน้องแมวเลียบริเวณนี้บ่อยมาก
เพราะเจ็บหรือปวด
อาจมีอาการอย่างอื่นด้วยเช่น ซึม ทานน้ำน้อยลง ดูซูบผอม และอาเจียน " ถ้าเจ้าของพบอาการเหล่านี้ถือว่าอันตรายมานะครับ
โดยถ้าถึงขั้นน้องแมวไม่ฉี่เลย ถือว่าน้องแมวอยู่ในภาวะอันตรายแล้ว
ควรรีบพาไปตรวจและ ให้คุณหมอวางแผนการรักษาจะดีที่สุดเลยครับ
ถือว่าจบไปแล้วนะครับสำหรับ 6
ปัญหาที่พบได้บ่อยในน้องแมว อยากฝากให้เจ้าของที่เลี้ยงแมวทุกคน
ลองสังเกตพฤติกรรมของน้องแมวให้ดีๆนะครับ
ถ้ามีอะไรที่คิดว่าน้องแมวกำลังป่วยอยู่ก็ลองหาข้อมูลดูก่อน
หรืออาจจะสอบถามคุณหมอตามคลีนิคแถวบ้าน แต่บางอย่างถ้าไม่มั่นใจ ขอให้รีบพาไปหาคุณหมอให้เร็วที่สุดนะครับ
หมอเป็ด เพ็ทนิสต้า
หมอเป็ด เพ็ทนิสต้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น