ดูแล

ดูแล

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการฝึกแมวให้ขับถ่าย "ถูกที่"



                            ผมเชื่อว่าผู้เลี้ยงแมวทุกคนคงจำได้เกี่ยวกับความทรงจำที่น่าประทับใจ เมื่อตอนได้แมวมาเลี้ยง(ไม่วาจะเป็นแมวเด็กหรือแมวโต) ด้วยความน่ารักของพวกเค้าคงทำให้เจ้าของมีความสุข ซึ่งรวมถึงตัวเจ้าเหมียวเองด้วย  การได้รับแมวใหม่มาเลี้ยงไม่ว่าจะเป็นแมวเด็กหรือแมวที่โตแล้ว "การดูแลและการฝึกในเบื้องต้นนั้นมีความสำคัญมาก" เพราะถือเป็นจุดแรกที่แมวจะเข้าใจและรักเจ้าของๆพวกมันไปอีกนาน  บางทีแค่เราให้น้ำให้อาหาร  หรือเตรียมอุปกรณ์ต่างๆเกี่ยวกับการเลี้ยงยังคงไม่พอ  ผู้เลี้ยงที่ดียังต้องให้ความรักและการเอาใจใส่แก่เจ้าเหมียวอีกด้วย

                           แต่มีอยู่ปัญหาหนึ่งที่มักทำให้เจ้าของมือใหม่กลุ้มใจกันทุกคน โดยเฉพาะเมื่อได้ลูกแมวมาเลี้ยง  นั่นคือปัญหาน้องแมว"ขับถ่ายไม่ถูกที่"  ถึงแม้เราจัดเตรียมอุปกรณ์ใช้ขับถ่าย (กระบะและทรายแมว ห้องน้ำแมว ฯลฯ )ให้แล้ว แต่ทำไมถึงไม่ยอมเข้าไม่ไปใช้กันเลยหรือว่าใช้ไม่เป็นกันนะ....  วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังครับว่า เพราะอะไรลูกแมว(หรือแมวโต) ถึงขับถ่ายไม่ถูกที่  มีสาเหตุอะไร และมีวิธีแก้ไขยังไงบ้าง



พื้นฐานนิสัยโดยธรรมชาติ  แมว"รักสะอาด" อยู่แล้ว

                                ตามปกติแล้ว การฝึกน้องแมวให้ขับถ่ายถูกที่เป็นเรื่องที่ง่ายมากครับ เพราะโดยธรรมชาติแมวเป็นสัตว์ที่มีนิสัยรักสะอาด เวลาขับถ่ายทุกครั้งจึงมักขุดคุ้ยดินมากลบอุจจาระของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วลูกแมวจะได้รับการสอนนิสัยนี้มาจากแม่ของพวกเค้า ดังนั้นถ้าเจ้าของได้น้องแมวมาเลี้ยงเร็วเกินไปจะทำให้มีปัญหาในการขับถ่ายไม่เป็นที่แน่นอนครับ  เป็นไปได้ "ควรให้ลูกแมวอยู่กับแม่แมวจนถึงสองเดือนก่อนแล้วค่อยนำมาเลี้ยง ซึ่งนี่เป็นวิธีฝึกที่ดีที่สุดครับ"

                            แต่ถ้าสาเหตุที่ขับถ่ายไม่ถูกที่ไม่ได้มาจาก "ขาดการฝึกนิสัยนี้จากแม่แมว" คงต้องหันมานึกดูดีๆแล้วครับว่า เกิดจากตัวเจ้าของเองรึเปล่า เช่น อาจเตรียมอุปกรณ์ไม่ดีเอง  หรือตำแหน่งในการวางที่ไม่เหมาะสม  ทำให้แมวไม่รู้ว่านี่คือห้องน้ำของพวกเค้า  สิ่งสำคัญคือผู้เลี้ยงต้องหาสาเหตุให้เจอครับว่าทำไมพวกเค้าถึงขับถ่ายไม่เป็นที่และรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด ไม่งั้นพวกเรานี่แหละจะปวดหัว เพราะฉี่และอึแมวนั้นเหม็นมาก ยิ่งถ้าโชคไม่ดีน้องแมวเผลอไป........บนเฟอร์นิเจอร์หรือบนเตียงนอนของเราเนี่ย  รับรองได้ทำความสะอาดกันเหนื่อยแน่ๆ



 เลือกกระบะที่เหมาะสมและวางตำแหน่งดีพอรึยัง

                                 มีเหตุผลมากมายครับที่ทำให้แมวไม่ยอมอึลงในกระบะ(ต่อไปขอเรียกตรงๆแบบนี้นะ จะได้เห็นภาพมากกว่า)  ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะปัญหาที่ตัวกระบะเอง เช่น ขนาดเล็กหรือตื้นเกินไปทำให้แมวไม่อยากใช้ หรือวางกระบะตรงตำแหน่งที่แมวมองไม่เห็น  อย่าวางใกล้กับอาหารและน้ำมากจนกินไปเพราะจะทำให้แมวไม่ใช้เลยและเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้  ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรเอากระบะที่เคยใช้กับแมวตัวอื่นแล้วนำมาใช้ต่อ เพราะอาจมีกลิ่นตกค้างอยู่ทำให้เค้าไม่อยากใช้และไม่เข้าใกล้เลย 




"ชนิดและปริมาณทราย" ก็มีผลนะ

                             นอกจากนี้ชนิดและปริมาณทรายก็มีผลเหมือนกันครับ แรกเริ่มควรให้ทรายธรรมดาทั่วไปก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นคริสตัลหรือทรายชนิดธัญพืช(เผื่อลองอยากใช้ในอนาคต) ควรใส่ทรายที่ระดับ1-2นิ้ว ถ้าใส่ตื้นหรือมากเกินไป แมวก็ลำบากในการกลบเหมือนกัน ส่วนเรื่องระดับทราย เรากะเองได้ง่ายๆโดยดูจากขนาดตัวของแมว ถ้าตัวเล็กก็อย่าใส่เยอะ ตัวใหญ่หน่อยก็ใส่ให้ดูพอดี ถ้ามากไปแมวอาจสะบัดทรายออกมาทำให้เจ้าของต้องเสียเวลาทำความสะอาดเพิ่มอีก  


สังเกต ฝึกฝน อดทน เฝ้ารอ

                                           ในช่วงแรก เจ้าของควรหมั่นสังเกตถึงพฤติกรรมการขับถ่าย (โดยมากจะเป็นช่วงเช้า และตอนทานอาหารเสร็จใหม่ๆ)  ถ้าเกิดเรากำลังเห็นเค้าขับถ่ายอยู่แต่ไม่ใช่ในกระบะทราย  เราควรรีบหยิบก้อนอึ ปัสสาวะ แล้วรีบนำไปวางในที่นั่นในทันที  พร้อมกลบทรายให้ทั่วๆ  จากนั้นรีบอุ้มเจ้าเหมียวไปวางไว้ที่นั่นเพื่อให้เค้าจำกลิ่นอึและฉี่ของตัวองได้ เพื่อให้รู้ว่านี่คือห้องน้ำของพวกเค้า  ถ้าแมวคุ้นเคยกลิ่นดีแล้วก็จะใช้เองต่อไปโดยไม่มีปัญหาอะไร   อย่าเพิ่งไปลงโทษเค้าทันทีนะครับ เพราะนอกจากแมวจะไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดแล้ว อาจทำให้ฝังใจและกลัวการขับถ่ายมากขึ้น เจ้าของควรทำความสะอาดเปลี่ยนทรายใหม่ และตักอึออกอย่างน้อยวันละครั้ง  ควรหมั่นสังเกตทรายแมวอยู่ตลอดเวลา อย่าให้มีกลิ่นแรงเกินไป  



                                       เพียงเท่านี้ผมรับรองว่า เจ้าเหมียวของเราจะค่อยๆเรียนรู้ และขับถ่ายในบริเวณที่เหมาะสมและถูกต้อง ส่วนระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับแมวแต่ละตัวเองด้วย ค่อยๆให้เวลากับเค้า ถ้าโชคดีพวกเค้าอาจจะเป็นเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่บางตัวอาจต้องใช้เวลา 3-7 วัน หรือนานกว่านั้น เนื่องจากยังไม่คุ้นเคยสถานที่และไม่คุ้นกลิ่น แต่ถ้าเป็นบ่อยๆหรือนานเกินไป ควรปรึกษาทางผู้เลี้ยงที่มีประสบการณ์หรือสัตวแพทย์น่าจะดีที่สุดครับ หวังว่าเนื้อหาวันนี้คงมีประโยชน์สำหรับผู้เลี้ยงแมวทุกคนนะครับ




                                                                                      หมอเป็ด เพ็ทนิสต้า

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

4 สาเหตุสำคัญที่ทำให้แมวมีปัญหาเรื่องขน



                             ก่อนเริ่มเรื่องนั้น เราเคยสงสัยกันมั้ยว่าแมวทั่วๆไปที่เรานิยมเลี้ยงกัน เช่น แมวไทย เปอร์เซีย สก็อตทิชโฟลด์ ฯลฯ มีขนประมาณกี่เส้น?  โดยปกติแล้วแมวตัวหนึ่งจะมีเส้นขนทั้งตัวประมาณ 130,000  เส้น และมีความนุ่มกว่าขนของสุนัข นอกจากนี้ ขนแมวยังมีหน้าที่อื่นๆที่สำคัญ เช่น เป็นตัวรับสัญญาณความรู้สึก ใช้ป้องกันอุณหภูมิร้อนหรือเย็น  และยังสามารถช่วยสังเคราะห์ วิตามินดี ได้อีกด้วย 

                             ในช่วงอายุแรกตั้งแต่ 3 เดือน 1 ปี เราจะรู้สึกว่าขนแมวสวยและมันวาวเป็นพิเศษ แต่ทำไมพอเลยอายุช่วงนี้มา น้องแมวของเราจึงขนร่วงมากขึ้น  ความมันวาวลดลง บางทีถึงขั้นสีขนเริ่มเปลี่ยน เลยด้วยซ้ำ วันนี้พี่หมอเป็ดจะมาให้คำตอบแก่ผู้เลี้ยงแมวทุกคนเองครับว่าสาเหตุใดบ้างที่เป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้ขนของพวกเค้ามีปัญหา



1.ให้กินอาหารที่ไม่เหมาะสม  

                               โดยปกติแมวของเราจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อร่างกายที่แข็งแรง รวมถึงสุขภาพผิวหนังและขนที่ดีด้วย แต่ถ้าแมวได้รับสารอาหาร หรือวิตามินไม่เพียงพอ จะทำให้เริ่มมีปัญหาขนร่วงง่ายขึ้นกว่าเดิม ไม่เงางาม และผิวหนังแห้งได้  การแก้ไขคือ เลือกให้กินอาหารที่ดีมีคุณภาพ ควรเลือกอาหารเม็ดเกรดดีๆหน่อยเพราะอาหารเม็ดแบรนด์ที่มีคุณภาพจะมีส่วนผสมของวิตามินเรื่องขนรวมอยู่ด้วย เพียงแค่นี้ก็ช่วยได้มากเลยล่ะครับ หรืออาจจำเป็นต้องเสริมวิตามินกลุ่มไขมัน (ที่เราน่าจะรู้จักกันดีคือ โอเมก้า3และ6 ซึ่งมีขายตามท้องตลาดทั่วไป) "การให้เค้ากินอาหารเปียก กินอาหารคน หรือเนื้อสัตว์มาเป็นเวลานานนั้นทำให้ได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุล นอกจากทำให้เกิดโรคบางอย่างได้แล้ว นี่ยังเป็นปัญหาส่วนใหญ่ที่ทำให้แมวขนร่วงเลยละครับ"



2.น้ำหนักมากเกินไป

                               ผลการสำรวจโดยส่วนใหญ่แล้ว พบว่า แมวเลี้ยงทั่วไปนั้นมีน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐานถึง 60% พี่เข้าใจว่าน้องทุกคนอยากเลี้ยงให้แมวอ้วนๆน่ารัก น่ากอดกันอยู่แล้ว แต่ก็จะมีปัญหา อาจมีโรคต่างๆตามมา แล้วเกี่ยวกับเรื่องขนยังไงล่ะ  เกี่ยวโดยตรงเลยครับ  เพราะเวลาน้องแมวอ้วน พวกเค้าจะขยับตัวน้อยลง นอนมากขึ้น ขี้เกียจมากกว่าเดิม ทำให้การการทำความสะอาดตัวเองและเลียขนน้อยลง ยิ่งถ้าอ้วนมากๆ น้องแมวจะไม่สามารถเลียขนได้ในบางจุดเพราะติดไขมันตัวเอง.......ทำให้เกิดขนพันกันมากขึ้น และไม่เงางามเพราะเลียขนได้น้อยลง   ทางแก้ไขคือคุมน้ำหนักน้องแมวอย่าให้อ้วนตุ๊ต๊ะเกินไป ซึงพี่เชื่อว่าไม่ยากหรอกก น้องทุกคนทำได้อยู่แล้วครับ อิอิ


3.อายุเยอะขึ้น

                    เมื่อน้องแมวของเราอายุมากขึ้น อาจทำให้ความยืดหยุ่นหรือความแข็งแรงกระดูกเสื่อมลงมีผลทำให้การขยับตัวไปเลียทำความสะอาดขนของตัวเองได้น้อยกว่าเดิม เพราะน้องแมวอาจจะเจ็บหรือปวดเวลาเคลื่อนไหว การแก้ไขคือเราต้องเอาใจใส่น้องแมวมากขึ้น เค้าอาจจะไม่น่ารักเหมือนตอนแรกพบ แต่น้องแมวก้อยังรักเราเหมือนเดิมนะ อาจเสริมวิตามินเรื่องกระดูกและข้อมากขึ้น และแปรงขนให้เค้าบ่อยๆ ก็เพียงพอแล้วครับ



4.อาบน้ำบ่อยเกินไป

                         การอาบน้ำเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้วครับเพราะนอกจากจะช่วยขจัดสิ่งสกปรก ป้องกันหมัด ลดปัญหาโรคผิวหนัง แต่บางทีน้องอาจลืมนึกไปว่าบางที่แชมพูที่เราใช้อาบน้ำให้น้องแมวนั้นมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังแห้ง ยิ่งถ้าเป็นแชมพูยารักษา ยิ่งทำให้ผิวหนังของแมวแห้งมากกว่าเดิม ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาเรื่องขนตามมาได้ บางทีการอาบน้ำบ่อยๆก็ทำให้น้องแมวป่วยและเป็นหวัดได้เหมือนกันนะ ทางแก้ไขคือลดความถี่ในการอาบน้ำลง ขึ้นอยู่กับแมวของน้องเองด้วยครับว่ามีความจำเป็นในการอาบน้ำบ่อยแค่ไหน แต่โดยทั่วไปแล้วพี่ว่าอาบเพียงสัปดาห์ละครั้งหรือทุกๆสองสัปดาห์ก็เพียงพอแล้วครับ



                        นี่คือสาเหตุเพียงเล็กน้อยนะครับที่ทำให้น้องแมวขนไม่สวย แต่จริงๆยังมีสาเหตุอื่นอีกมากที่เกิดจากตัวของน้องแมวเอง เช่น เป็นภูมิแพ้ขนเลยร่วงง่าย  เป็นโรคติดเชื้อที่ผิวหนัง มีพยาธิภายใน หรือเป็นโรคเบาหวาน บางครั้ง แค่อากาศแห้งเกินไปอาจทำให้น้องแมวมีผิวแห้งมากขึ้น อาจนำไปสู่ปัญหาทางผิวหนังได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น เราควรดูแลน้องแมวให้ดีและใส่ใจพวกเค้าให้มากขึ้น ดูแลทั้งพฤติกรรมการกิน และสุขลักษณะทั่วไป เพียงเท่านี้พี่รับประกันได้เลยครับว่าน้องแมวต้องมีขนสวย และสุขภาพขนที่ดีแน่นอน แต่ถ้าลองทำตามวิธีแล้วยังมีปัญหาอยู่อีก ก็อย่าลืมพาไปให้สัตวแพทย์ตรวจนะครับ...




                                                                        หมอเป็ด เพ็ทนิสต้า

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อยากเริ่มฝึกแมว ควรเริ่มต้นอย่างไรดี


              



                      มีเจ้าของแมวมามาปรึกษาผมค่อนข้างมากครับ เกี่ยวกับการเรียกแมวให้มาหาหรือเล่นด้วย  เพราะอะไรนะ เวลาเรียกเจ้าเหมียว มันถึงดูไม่ค่อยสนใจ แถมยังหันหน้าหนีด้วยซ้ำT.T ไม่เหมือนตอนเด็กเนี่ย เดินตามอ้อนเราทั้งวัน พอโตแล้ว จะเดินมาหาพวกเราเฉพาะตอนที่"หิวอย่างเดียว" ประโยคคลาสสิคที่ผมเจอบ่อยๆเลยคือ "ทำไมแมวหนูถึงไม่ฉลาดเลยล่ะคะเรียกเท่าไรเนี่ย ไม่เคยเดินมาหาหนูเลย หนูพยายามฝึกเท่าไร(ฝึกอะไรอ่ะคับ?)ก็ไม่เคยทำตาม ไม่เหมือนกับสุนัขของหนู ฝึกง่ายกว่าแถมพร้อมวิ่งมาเล่นกับหนูตลอดเวลา ไม่คิดเลยว่าแมวจะฝึกยากขนาดนี้"  คำพูดเหล่านี้ทำเอาผมอึ้งกิมกี่ไปเหมือนกันนะ

                     แต่น้องเชื่อหรือเปล่าครับ ความจริงแล้วเราทุกคนสามารถฝึกแมวให้ทำตามคำสั่งได้ อย่างเจ้าคิคตี้แมวสุดที่รักของหมอเป็ดเนี่ยนะ กว่าจะฝึกให้นั่งเป็น เรียกแล้วเดินมาหาหรือยืนสองขาได้ ทำเอาเหนื่อยไม่ใช่เล่นเลย บล็อกวันนี้ ผมจะอธิบายว่าว่าทำไมแมวถึงฝึกได้ยากกว่าสุนัข  รวมถึงขั้นตอนการฝึกเบื้องต้น ส่วนเนื้อหาจะเป็นอย่างไรบ้างลองไปดูกันเลยครับ


โดยธรรมชาติแล้ว แมวไม่เหมือนกับสุนัขนะ.....

                           อันดับแรก เราต้องเข้าใจพวกเค้าก่อนนิดนึงว่า แมวนั้นมีนิสัยที่ต่างจากสุนัขอย่างสิ้นเชิง เราจึงไม่สามารถนำวิธีการฝึกที่ใช้ฝึกสุนัขมาใช้กับแมวของเราได้  น้องจำไว้นะครับว่า "แมวไม่ใช่สัตว์สังคม" เหมือนกับสุนัข  เพราะโดยธรรมชาตินับตั้งแต่อดีต มนุษย์เลี้ยงสุนัขเพื่อเอาไว้ใช้งาน หรือทำงานร่วมกับมนุษย์ ไม่เหมือนแมวที่เรามักเลี้ยงเพื่อเอาไว้ใช้ล่าเหยื่อเสียมากกว่า หนำซ้ำบรรพบุรุษของแมวนั้นมาจากตระกูลนักล่า เช่น เสือ ซึ่งมีความสันโดษมากและชอบอยู่เพียงลำพัง เพราะแบบนี้เลยทำให้การฝึกน้องแมวเป็นไปได้ค่อนข้างยาก




การฝึกแมวดูเหมือนยาก แต่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

                                  ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยละครับที่เราจะฝึกแมวให้เชื่องๆ น่ารักๆเหมือนกับน้องหมาได้  เจ้าของแมวเองจึงต้องมีวิธีที่สร้างสรรค์  เพื่อกระตุ้นความสนใจต่อน้องแมวได้มากเป็นพิเศษ  แต่ก่อนจะเริ่มฝึกนั้น ควรมั่นใจก่อนในระดับหนึ่งนะว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเราเองและเจ้าแมวเหมียวเป็นไปในทิศทางที่ดี"^^ เพื่อที่จะทำให้แมวเกิดความเคยชิน และไม่ตกใจกลัว  ลองถามตัวเองง่ายๆครับว่า  "คิดว่าแมวจำเราได้ดีพอรึยัง" ถ้าคิดว่าได้แล้ว งั้นเราไปเริ่มการฝึกน้องแมวแบบง่ายๆกันเลยยยย




เริ่มฝึกแมว การฝึกที่ง่ายที่สุดคือ "การนั่ง"

                                    สำหรับวิธีการเริ่มฝึกแมว ส่วนตัวแล้วการฝึกให้เจ้าเหมียว"นั่งให้เป็น" เป็นอะไรที่ดูเท่ห์มากๆๆ และยังเป็นการฝึกที่ง่ายที่สุดด้วยครับ แล้วเราจะใช้อะไรเป็นตัวช่วยดีนะ แน่นอนครับ ยังไง"วิธีที่ใช้อาหารล่อแล้วตามด้วยรางวัลก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด" (reward-based training) พยายามรู้ใจของแมวเราก่อนว่าเค้าชอบอะไรมากเป็นพิเศษ แล้วเอาสิ่งนี้แหละครับเป็นรางวัล โดยการฝึกอาจจะยุ่งยากกว่าน้องหมานิดหน่อย(บอกก่อนว่านี่เป็นวิธีที่ผมใช้ฝึกกับแมวของผมแล้วได้ผลนะ และเป็นวิธีที่นิยมใช้กันทั่วโลก)  

                                    โดยขั้นตอนแรก พยายามเรียกร้องความสนใจจากน้องแมวของเราให้ได้ก่อนจากนั้นเอาอาหารล่อเข้าไปใกล้ๆที่จมูก เมื่อจมูกเค้าเริ่มฟึดฟัดได้กลิ่นดูท่าทางอยากกินเต็มที่  ค่อยให้เราเลื่อนอาหารจากจมูกไปที่หู โดยให้ขนานไปกับขอบจมูกเลยผ่านหว่างคิ้วแมว จนถึงระหว่างหูทั้งสอง ของแมวนะครับ เพราะการทำแบบนี้ น้องแมวจะไม่เห็นอาหารจึงต้องพยายามเงยคาง มองอาหารไปตามมือของเรา  เมื่อเงยคางจนสุดแล้ว จะทำให้น้องแมวนั่งลงมองอาหารโดยอัตโนมัติ  สิ่งสำคัญคือ  อย่ายกอาหารขึ้นตั้งฉากเพราะจะทำให้แมวเห็นและไม่ขยับตัวตามไปกับเรา (ลองนึกภาพตามนะครับ ทุกคนน่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก)

                                     ขั้นตอนที่สอง เมื่อเราทำแมวนั่งได้แล้ว พยายามลูบหัวชื่นชมเค้าและให้รางวัลทุกครั้งที่เค้าทำได้ แม้ว่าอาจจะยังไม่สำเร็จในครั้งแรก แต่ขอให้น้องๆต้องพยายามต่อไป  การฝึกเค้าบ่อยๆ และลองหลายๆครั้งจะทำให้เค้ารู้และเข้าใจว่าได้เองว่า "ต้องนั่งก่อน ถึงจะได้รางวัล"  วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุดในการฝึกแมว และน้องๆสามารถนำวิธีนี้ไปประยุกต์ใช้กับการฝึกอย่างอื่นได้อีกมากมาย


อย่าฝึกพวกเค้าเพลินจนลืมระวังตัวเองล่ะ.....


                            ข้อควรระวังของวิธีนี้ โดยเฉพาะถ้าน้องแมวของเรานิสัยขี้เล่น ชอบกัดชอบแง่บทุกอย่าง พี่ขอแนะนำให้ใส่ถุงมือป้องกันนิ้วมือด้วย เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ ระวังนิ้วของเราให้ดีอย่าให้มันคิดว่าดูน่าอร่อยกว่าอาหารที่ใช้ล่อนะ  ยังไงพี่ขอให้น้องๆทาสแมวทุกคนมีความสุขในการฝึกแมว ระยะการฝึกนั้นขึ้นอยู่กับนิสัยของพวกเค้าและความอดทนของตัวเจ้าของเอง (บางตัวอาจฝึกไม่ได้เลยก็มีนะครับ) ค่อยๆให้เวลา และอย่าเพิ่งท้อกันก่อนนะครับ  



                                                                                                                       หมอเป็ด เพ็ทนิสต้า

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

น้องแมวเป็นโรคไต..........ทำไงดี

   



                            วันนี้ขณะที่ผมใกล้จะเปิดร้าน อยู่ดีๆก็มีลูกค้าวื่งอุ้มแมวเขามาหาผมในทันที แล้วรีบเล่าอาการของแมวที่ป่วยอยู่ ผมจับใจความได้ประมาณนี้ครับ "พี่หมอคะทำไงดี น้องแมวของหนูอยู่ดีๆก็มีอาการแบบนี้อ่ะ บลาๆๆ............... สงสัยมันต้องเป็นโรคไตแน่ๆ น้องเค้าจะตายมั้ย คุณหมอพอช่วยเค้าได้มั้ยค่ะ คุณหมอไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษาค่ะเต็มที่เลย เพราะหนูเบิกกับแฟนได้O-o" (ประโยคสุดท้ายนับเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่หมอเป็ดเจออยู่เป็นประจำครับ555+)                    
                             อืม.......พี่เข้าใจเลยนะ เวลาที่เจ้าเหมียวของเราไม่สบาย เจ้าของทุกคนคงรู้สึกห่วงและกังวลมาก โรคไตเป็นเป็นโรคหนึ่งที่เจ้าของสัตว์เลี้ยง มักจะไม่ทราบว่าแมวของตนป่วยด้วยโรคนี้ เนื่องจากโรคไต มีปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลายสาเหตุ(ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาพูดกัน) แต่ส่วนใหญ่ที่พบมักเกิดจากสุขลักษณะการเลี้ยงที่ไม่ถูกต้อง "โดยเฉพาะการให้น้ำและอาหาร"  กว่าเจ้าของจะรู้ว่าตัวเองเลี้ยงผิดนั้นบางทีก็สายเกินไป วันนี้พี่จะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับโรคไตในแมว ว่าสาเหตุของโรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร อาการที่พบ ขั้นตอนในการรักษา รวมถึงวิธีป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงการเป็นโรคนี้ ว่าแล้วลองไปดูกันเลยครับ!!



1.แล้วสาเหตุใดบ้างล่ะที่ทำให้เกิดโรคไตในแมวของเรา

                                โรคนี้ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจมีหลายปัจจัยเสี่ยงมารวมกันครับ เช่น อายุเยอะเฉลี่ย 7 ปีขึ้นไป, สายพันธ์(ที่พบบ่อยคือเปอร์เซียและหิมาลายัน),  การติดเชื้อเรื้อรัง,  แมวที่เคยเป็นโรคนิ่วหรือเป็นโรคมะเร็งจะทำให้เป็นโรคไตได้ง่ายขึ้น, บางครั้งอาจมาจากความผิดปกติของไตที่เป็นมาตั้งแต่เกิด หรือบางทีอาจมาจากพฤติกรรมของแมวเอง เช่น กินน้ำน้อย ชอบเลียกินน้ำบนพื้นทีสกปรก                             
                               นอกจากนี้ เจ้าของที่เลี้ยงแมวแบบปล่อยเลี้ยงนอกบ้าน แมวจะมีความเสี่ยงเป็นโรคไตได้มากกว่าแมวที่เลี้ยงในบ้าน เพราะอาจกินน้ำไม่สะอาดอยู่บ่อยๆเช่น กินน้ำตามแหล่งน้ำขังทั่วไป,     กินในกระถางต้นไม้  และที่อันตรายมากคือ แมวอาจได้รับสารพิษจากยาฆ่าแมลง หรือปุ๋ย โดยเฉพาะสารเคมีประเภท"น้ำยาหล่อเย็น"(น้ำยากลุ่มAntifreez ที่ใช้ในรถหรือเครื่องปรับอากาศ) ถ้าแมวได้รับสารนี้เข้าไปเมื่อไร มีโอกาสทำให้เป็นโรคไตวายเฉียบพลันได้สูงมาก  สิ่งเหล่านี้ที่พูดมาล้วนทำให้เนื้อไตเสียหาย



2. อาการอะไรบ้างที่เห็นแล้ว รู้เลยว่าแมวเสี่ยงเป็นโรคไต

                      สังเกตได้ไม่ยากครับ ถ้าแมวเริ่มแสดงอาการเหล่านี้  แสดงว่ามีแนวโน้มเป็นโรคไตแล้ว ให้รีบพาแมวไปหาคุณหมอเพื่อตรวจร่างกายให้เร็วที่สุด

-น้ำหนักตัวลดลงจากแมวอ้วนกลายเป็นแมวผอมในเวลาไม่นาน
-ทานอาหารได้น้อยลง กินน้ำบ่อยครั้งขึ้น
-อาเจียนบ่อยครั้งรวมถึงมีถ่ายเหลวและท้องเสีย
-น้องแมวเลียตรงบริเวณขับถ่ายบ่อยขึ้นอาจเป็นเพราะปวด
-ฉี่ไม่ลงกระบะทราย  อาจเป็นเพราะควบคุมการปัสสาวะไม่ได้
-มีกลิ่นปากและลมหายใจเหม็นมากกว่าเดิม ปากเป็นแผล
-ถ่ายอุจจาระน้อยลง มีอาการปวดเบ่ง หรือไม่ถ่ายอุจจาระนานหลายวัน
-ปัสสาวะมีเลือด หรือขุ่นมากกว่าเดิม  มีอาการปวดเบ่งตอนปัสสาวะ



3.การตรวจหาสาเหตุโรคไตต้อง ทำอย่างไรบ้าง?

                         มีหลายวิธีเลยครับสำหรับการตรวจหาสาเหตุว่าแมวเป็นโรคไตแล้วหรือยัง โดยหลังจากที่พาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์แล้ว คุณหมอจะเริ่มซักประวัติ และตรวจร่างกายเบื้องต้นว่าลักษณะทางกายภาพแมวเป็นอย่างไร ดูซูบผอม ประเมินภาวะการขาดน้ำ ตรงนี้น้องๆต้องบอกข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คุณหมอวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น  จากนั้นคุณหมออาจขอเจาะเลือด วัดความดัน  และเก็บปัสสาวะของน้องแมว เพื่อไปตรวจหาสาเหตุ อาจใช้การ X-ray เพื่อดูขนาดของไต กับตรวจultrasound เพื่อดูความผิดปกติบริเวณผิวเนื้อไต หรือถ้าจำเป็นจริงๆอาจต้องขอเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ เพื่อยืนยันอีกว่าความรุนแรงนั้นอยู่ในระดับไหน



4.มีวิธีรักษาแมวหายจากโรคไตได้มั๊ย

             การรักษาโรคไตมีหลากหลายวิธีค่อนข้างเยอะครับแต่ส่วนใหญ่คือเน้นรักษาแบบพยุงอาการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของน้องแมวและระดับความรุนแรงด้วย ถ้าโชคดีพบว่าน้องแมวเพิ่งเริ่มเป็นในระยะเริ่มต้น สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากความเสียหายที่ไตอาจยังมีค่อนข้างน้อย แค่บำรุงด้วยวิตามิน  และปรับเปลี่ยนสุขลักษณะการกิน ให้ดีขึ้น อาจทำให้กลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นโรคไตมาค่อนข้างนาน  คงต้องใช้วิธีหลายๆอย่างรักษาร่วมกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินของคุณหมอและระยะความเสียหายของไตที่น้องแมวเป็น  โดยการรักษาจะมีทั้งให้ยารักษาตามอาการ  วิตามินบำรุง  ให้สารน้ำ อาหารประกอบรักษาโรคไต(พวกกลุ่ม k/Dนอกจากนี้การเป็นโรคไตยังมีผลต่อระบบเลือดซึ่งอาจส่งผลเสี่ยงต่อการเป็นโลหิตจางได้  จึงต้องให้ยาบำรุงเลือดเพิ่ม  แต่ถ้าพบว่าไตเสียหายหนักจริงๆอาจถึงขั้นฟอกไต หรือผ่าเปลี่ยนตัดเปลี่ยนถ่ายไต ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมากครับ



5.การรักษาแมวที่เป็นโรคไต ถ้าให้กินแค่อาหารประกอบการรักษาโรคไตอย่างเดียวจะหายมั้ยคะ?

                 คำถามนี้หมอเจอบ่อยมาก ขอตอบเลยละกันว่า การให้น้องแมวทานแค่อาหารรักษาโรคไตเพียงอย่างเดียวนั้น "ไม่เพียงพอต่อการรักษาโรคไตครับ" เพราะการให้อาหารรักษานั้น ความจริงแล้วเหมือนเป็นแค่การควบคุมปริมาณสารอาหารที่น้องแมวควรได้รับมากกว่า เช่นคุมปริมาณโปรตีนและคุมระดับฟอสฟอรัสและโซเดียมไม่ให้มากเกินไป เพราะถ้ามีโปรตีนและแร่ธาตุสองชนิดนี้มากจะทำให้ไตทำงานหนัก  การรักษาทั่วไปจึงต้องให้ยาและสารน้ำเพื่อปรับระดับให้อยู่ในระดับปกติ แต่ยังคงต้องใช้เวลาอยู่ดี คุณหมอส่วนใหญ่จึงมักเลือกการให้อาหารรักษาเป็นวิธีเสริมมากกว่าเพื่อให้น้องแมวหายได้เร็วขึ้นครับ และเจ้าของไม่ควรปรับเปลี่ยนจากอาหารเดิมมาทานอาหารรักษาโรคไตทันทีนะครับ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เหมือนกัน ยังไงควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนใช้จะดีที่สุดครับ



6. การดูแลแมวหลังการรักษา ควรทำอย่างไรบ้าง

                             แน่นอนครับ ที่ต้องเน้นเลยคือควบคุมเรื่องการให้อาหาร โดยเน้นให้อาหารรักษาโรคไต พร้อมให้ทานยาที่คุณหมอให้มาอย่างเคร่งครัด ดูเรื่องความสะอาด ภายในบ้าน และสุขอนามัยที่ดีต่อน้องแมว เช่น ดื่มน้ำที่สะอาด และนำไปตรวจเช็คร่างกาย เพื่อตรวจดูค่าไตอยู่เป็นประจำครับ



                              ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นสำหรับโรคไตในแมวถือเป็นโรคที่รุนแรง เพราะเป็นโรคที่ใช้เวลารักษาค่อนข้างนานและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ถ้าเป็นไปได้ ควรป้องกันโรคนี้ไม่ให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญคือการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของโดยตรงในการเลี้ยงแมวตั้งแต่เริ่มต้น และเน้นมากขึ้นในแมวสูงอายุ  เจ้าของควรดูแลเรื่องสุขลักษณะการให้อาหารและน้ำที่เหมาะสม เพราะถ้าเราให้อาหารที่มีประโยชน์และมีคุณภาพ(ทานอาหารเม็ดเป็นหลัก สูตรพรีเมี่ยมทำให้ลดโอกาสเป็นโรคไตได้เยอะเลยครับ) บวกกับให้ทานน้ำที่สะอาดและทานบ่อยๆ(น้องแมวชอบทานน้ำเย็นและน้ำที่ไหลผ่าน การให้น้ำพุแมวจะช่วยให้เค้ากินน้ำได้มากขึ้น)


                              ที่สำคัญคือต้องหมั่นพาเจ้าเหมียวไปตรวจสุขภาพอยู่เป็นประจำอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อปี เพื่อเป็นการป้องกันหรือหากพบความผิดปกติจะได้รีบวางแผนรักษา เพื่อสุขภาพที่ดีของน้องแมวและอยู่เป็นเพื่อนเราไปนานๆเลยครับ



                                                                 หมอเป็ด เพ็ทนิสต้า

หลัก 7 ข้อการกรูมมิ่งที่ผู้เลี้ยงทุกคนควรรู้




         

                      ผมคิดว่าการหาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือแมว คงเป็นเรื่องง่ายมาก เพราะทุกวันนี้มีแหล่งขายสัตว์เลี้ยงมากมายให้คุณได้เลือก หรือไม่แน่คุณอาจได้มาฟรีๆ(โดยที่คุณตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) แล้วหลังจากที่เราได้พวกเค้ามาแล้วล่ะ คุณเริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลสมาชิกใหม่ของครอบครัว(ตัวนี้)ดีพอแล้วรึยัง
                      เริ่มแรกในการเลี้ยงนั้น นอกจากเจ้านายอย่างพวกคุณต้องให้น้ำ ให้อาหารแก่พวกเค้าแล้ว ความรักและความเอาใจใส่ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ การดูแลสุขภาพของพวกเค้าเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ต้องทำให้กับสัตว์เลี้ยงของคุณ เริ่มง่ายๆคือ การดูแลการทำความสะอาดสัตว์เลี้ยงตั้งแต่ศีรษะยันปลายเท้า หรือที่เราเรียกว่า "กรูมมิ่ง" นั่นเอง  ดังนั้นเนื้อหาในวันนี้ หมอเป็ดจะมาอธิบายถึงหลักสำคัญเกี่ยวกับการกรูมมิ่ง ว่าเจ้าของทุกคนต้องเตรียมตัวอย่างไร โดยมี  "7 ขั้นตอนง่ายๆ สำหรับเตรียมตัว "กรูมมิ่ง" รับรองว่ามีประโยชน์กับทุกท่านแน่นอนครับ



1.ก่อนจะกรูมมิ่ง แน่ใจรึยังว่าอุปกรณ์ที่ใช้น่ะ  ถูกต้องแล้ว...

                   การเลือกใช้อุปกรณ์กรูมมิ่งที่เหมาะสม นอกจากทำให้ขั้นตอนการดูแลง่ายขึ้นแล้ว ยังทำให้ผู้เลี้ยงรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับการกรูมมิ่ง (รวมถึงตัวสัตว์เลี้ยงเองด้วย) ดังนั้นก่อนเลือกใช้เครื่องมือใดๆ เราควรศึกษาหาข้อมูลกันนิดนึง เพราะปัจจุบันนี้มีอุปกรณ์กรูมมิ่งมากมายเลยครับให้เราเลือกใช้กัน (หวีแปรงขนก็มีหลายรุ่น แปรงสีฟันหลายยี่ห้อ ที่ตัดเล็บหลายแบบ เยอะมากจริงๆ) ถ้าเราไม่มั่นใจ เราควรถามคนขายที่มีความรู้หรือให้สัตวแพทย์แนะนำ เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยงของเราครับ



2."แปรงขน" กิจวัตรที่ควรทำทุกๆวัน

                     สิ่งสำคัญที่เจ้าของควรทำให้สัตว์เลี้ยงของเราทุกวัน นั่นคือ "การแปรงขนครับ" เพียงแค่ใช้เวลาวันละไม่กี่นาทีในการดูแลขนของพวกเค้าโดยการแปรง  นอกจากทำให้เส้นขนมีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยขจัดสิ่งสกปรกและขนที่เสีย รวมถึงป้องกันไม่ให้เกิดขนพันกันอีกด้วย ข้อควรระวังคือ เมื่อเราแปรงขนแล้วเจอก้อนขนหรือส่วนที่ยุ่งเหยิงมากๆ "อย่าเพิ่งพยายามดึงมันออกมา" เพราะสัตว์อาจเจ็บและหลีกเลี่ยงไม่อยากแปรงขนเท่าไรนัก ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ เจ้าของควรพาไปหาช่างตัดขนผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจัดการเอาออกให้จะดีกว่า ที่สำคัญการแปรงขนจะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของและสัตว์เลี้ยงให้ดีมากยิ่งขึ้น พวกเค้าจะรู้สึกดีที่ขนสวยเงางามและรักคุณมากขึ้นอีกด้วยครับ


3.เพิ่มความสะอาดและความสุขได้ ด้วย"การอาบน้ำ"

                        การอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงของเรานั้น เป็นเรื่องปกติที่เจ้าของควรรู้และควรทำให้กับพวกเค้าอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ ขึ้้นอยู่กับชนิดสัตว์เลี้ยงและความยาวของขนด้วยครับ(ถ้าเป็นสุนัขควรอาบให้ทุกสัปดาห์ แต่ถ้าแมวนั้นอาบเดือนละครั้งยังได้เลย) การอาบน้ำนอกจากจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรก  ขจัดไขมันส่วนเกินและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกไป ยังทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดีและช่วยผ่อนคลายความเครียดให้กับพวกเค้าได้ด้วย ปัญหาที่หนักใจสำหรับเจ้าของบางคนคือ สัตว์เลี้ยงของตัวเองไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ชอบอาบน้ำเลย ให้ตายสิ..... ถ้าเป็นแบบนี้เจ้าของควรรีบหาสาเหตุให้เจอ อาจเป็นเพราะเราอาบน้ำผิดวิธี หรือพวกเค้าเคยมีประสบการณ์จากการคันเพราะแพ้แชมพู หรือล้างออกไม่หมด  ถ้าเจ้าของอาบเองไม่ได้จริงๆควรพาไปอาบน้ำที่ร้านกรูมมิ่ง นั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ 


4."ตัดเล็บ" เพื่อความปลอดภัยของผู้เลี้ยงและตัวสัตว์เองด้วย

                           เจ้าของควรหมั่นสังเกตความความยาวเล็บให้เหมาะสมเพื่อช่วยหลีกเลียงการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเรา(โดนหมาแมวข่วนเอาเนี่ยมันเจ็บนะ บอกไว้ก่อน)  รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ของคุณเองด้วย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่สาเหตุมาจากเล็บยาวจนเกินไป เช่น เล็บยาวจนทิ่มเนื้อตัวเอง เล็บขบ อาจเกิดบาดแผลเวลาเกา โดยเฉพาะที่ตา  และถ้าเราปล่อยเล็บยาวมากเกินไปจะทำให้หลุดง่ายขึ้นด้วย นอกจากนี้การตัดแต่งเล็บสัตว์เลี้ยงของคุณ ยังช่วยให้มีโอกาสตรวจดูเท้าของเขาเผื่อมีปัญหา เช่น เท้าบวม ฝ่าเท้าเริ่มแตกรวมถึงก้อนสังกะตังรอบๆฝ่าเท้า  แต่ถ้าไม่มั่นใจในการตัดเล็บควรปรึกษาสัตวแพทย์ถึงวิธีการตัดเล็บที่ปลอดภัยครับ



5."ช่องหู"สะอาด ลดโอกาสเป็นโรคหลายอย่างนะ

                     "ช่องหู" ก็เป็นอีกส่วนของร่างกายที่ผู้เลี้ยงต้องให้ความสำคัญในการดูแลเป็นพิเศษ  นอกจากการอาบน้ำ ตัดเล็บและแปรงขนให้กับสัตว์เลี้ยงของเราแล้ว "การเช็ดหูและการถอนขนในช่องหู" ถือว่ามีความสำคัญมาก (โดยเฉพาะในสุนัขบางพันธ์ เช่น ชิสุห์ พุดเดิ้ล)  เนื่องจากบริเวณในช่องหูเป็นจุดอับ และมีขนขึ้น ถ้าหากไม่ถอนและทำความสะอาดอยู่เป็นประจำจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะขนบริเวณหูนั้นเป็นแหล่งสะสมเห็บหมัดและเชื้อโรคเป็นอย่างดีเลยทีเดียว ที่สำคัญหากปล่อยไว้เรื่อยๆ โดยไม่ดูแลก็อาจจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคช่องหูอักเสบได้อีกด้วย นอกจากนี้เราสามารถบอกได้ว่าสัตว์เลี้ยงของเราสุขภาพดีหรือไม่ โดยดูได้จากความสะอาดของช่องหูได้อีกเช่นกัน



6."แปรงฟัน" ป้องกันปัญหากลิ่นปากและลดคราบหินปูน 

                       เป็นเรื่องที่น่าตกใจครับ เพราะจากการที่ผมได้ซักถามข้อมูลจากผู้เลี้ยง หลายๆคนยังมีความเข้าใจผิดกันมาก  คือมีผู้เลี้ยง(ขอย้ำว่าส่วนใหญ่ด้วยครับ) คิดว่าไม่จำเป็นต้องแปรงฟันเลย เพราะให้กินแต่อาหารเม็ด ฟันจึงน่าจะแข็งแรงและไม่มีปัญหาอยู่แล้ว นี่เป็นความเข้าใจที่ผิดมากๆเลยล่ะคับ   ความจริงแล้วเราควรแปรงฟันให้กับพวกเค้า เพื่อป้องกันไม่ให้มีกลิ่นปากและโรคในช่องปากตามมาภายหลัง และควรเริ่มต้นฝึกการแปรงฟันตั้งแต่อายุน้อยๆเพื่อให้คุ้นเคย อาจปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการแปรงฟันที่ถูกต้องรวมถึงให้คุณหมอเลือกยาสีฟันที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับสัตว์เลี้ยง (แนะนำเพิ่มว่าควรแปรงฟันให้เค้าสัปดาห์ละหนึ่งครั้งครับ)



7.ทำให้พวกเค้าดูใหม่ด้วยการ "ตัดแต่งขน"

                       สุนัขบางสายพันธ์โดยเฉพาะพันธ์ขนยาว เช่น ยอร์คเชีย มอลทีส  ปอมเมอเรเนียน ชิสุห์หรือพุดเดิ้ล จำเป็นต้องตัดแต่งขนเพื่อความสวยงามและป้องกันปัญหาขนไม่พันกัน แต่ถ้าเป็นแมวบางพันธ์เช่น เปอร์เซีย ถ้าขนเริ่มยาวก็ควรเล็มออกเสีย นอกจากนี้การตัดขนยังเป็นอีกวิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้มีเห็บหรือหมัดอาศัยอยู่บนสัตว์เลี้ยงของเราด้วยครับ ที่สำคัญคือเจ้าของควรหาช่างตัดขนประจำตัวที่มั่นใจว่าสามารถตัดขนได้ถูกใจ และเพื่อความปลอดภัยต่อตัวสัตว์เอง พยายามอย่าเปลี่ยนช่างตัดขนบ่อยเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้สัตว์ไม่คุ้นเคยแล้วยังเกิดความเครียดได้อีกครับ


                          การกรูมมิ่งนั้นเราสามารถทำได้เองหรือพาไปร้านทีเชี่ยวชาญด้านกรูมมิ่งโดยตรง นอกจากจะช่วยให้เจ้าเหมียวกับเจ้าตูบของเราดูดีแล้ว สิ่งสำคัญที่พวกเค้าได้รับอีกคือ การมีสุขภาพทีดีทั้งภายนอกและภายใน รวมทั้งป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลายชนิดได้อีกด้วย     รู้อย่างนี้แล้ว เจ้าของทุกคนควรใส่ใจเรื่องกรูมมิ่งให้กับพวกเค้ามากกว่านี้นะครับ 



                                                       หมอเป็ด เพ็ทนิสต้า